รวมการรักษาสิว และวิธีดูแลง่ายๆ
ปัญหาหลุมสิวเกิดจากอะไรทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
ส่วนใหญ่จะเห็นผลเมื่อรับการรักษาต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ครั้งขึ้นไป จะพบว่าสิวอักเสบค่อยๆ ยุบตัวลง ใบหน้ามีความมันน้อยลง รอยสิวดูจางลง หมอแนะนำควรทำสัปดาห์ละครั้ง ต่อเนื่องกัน 4 – 8 สัปดาห์ขึ้นไปค่ะ ซึ่งความถี่ของการรักษาจะขึ้นอยู่กับหมอพิจารณาให้เหมาะสมกับแต่ละคน
หลุมสิวเกิดจากกระบวนการซ่อมแซมผิวหนังที่ไม่สมบูรณ์หลังจากเกิดปัญหาสิวอักเสบอย่างรุนแรง, สิวอุดตัน, สิวหัวหนองและสิวหัวช้างที่เป็นสาเหตุทำให้ผิวบริเวณที่เป็นสิวยุบลง โดยทั่วไปหลังจากสิวหายร่างกายจะสร้างคอลลาเจนบริเวณที่เกิดสิวภายใน 7-10 วัน แต่หากกระบวนการดังกล่าวไม่สมบูรณ์ ทำให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ไม่เพียงพอต่อปริมาณคอลลาเจนที่ถูกทำลายไป จะทำให้เนื้อเยื่อหดรัดตัว เกิดเป็นรอยแผลและหลุมสิวตามมา นอกจากนี้ยังเกิดจากการแกะหรือดึงสิวออก ทำให้หลุมยุบตัวลงลึกไปถึงชั้นผิวจนทำลายผิวบริเวณนั้นมากยิ่งขึ้น โดยสิวที่ทำให้เกิดปัญหาหลุมสิวมากที่สุด ได้แก่
1. สิวอักเสบ หลังจากเกิดสิวอักเสบขึ้นแล้วจะมีหนองตามมา ซึ่งหนองที่ว่าจะทำลายทั้งผิวหนังและคอลลาเจนที่อยู่ในผิว แม้ว่าสิวจะหายแล้วก็ตามแต่ร่างกายยังคงสร้างพังผืดเป็นหลุมสิวเพื่อรักษาแผล
2. สิวหัวช้าง เกิดจากการอักเสบของต่อมไขมันใต้ชั้นผิวหนัง ตัวสิวมีลักษณะเป็นตุ่มบวม หากกดหรือสัมผัสจะรู้สึกเหมือนเม็ดไตแข็ง ๆ หากรักษาผิดวิธีอาจเกิดการอักเสบและเกิดหลุมสิวตามมา
3. สิวเป็นไต เป็นสิวที่มีลักษณะเป็นไตแข็ง ๆ นูนแดงคล้ายสิวหัวช้างแต่เล็กกว่า เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียจนลุกลามไปถึงชั้นใต้ผิว สิวชนิดนี้สามารถพบได้ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะใบหน้า, หน้าอก และแผ่นหลัง
การรักษาแบบอื่นที่เห็นผลลัพธ์รวดเร็ว
1. Fractora
เป็นเลเซอร์รักษาหลุมสิวโดยการปล่อยคลื่นพลังงานจากปลายเข็มลงไปยังใต้ชั้นผิวหนังแท้ที่มีระดับความลึกประมาณ 1 มิลลิเมตร เพื่อตัดพังผืดที่ดึงรั้งหลุมสิวและปล่อยพลังงานคลื่น RE เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ดังนั้นคนไข้จึงรู้สึกเจ็บเล็กน้อยระหว่างการรักษา แต่ร่างกายจะซ่อมแซมผิวที่บาดเจ็บและสมานแผลไปเองตามกลไลของธรรมชาติ เพื่อให้เกิดการสร้างผิวขึ้นมาใหม่ ส่งผลให้ผิวบริเวณหลุมสิวถูกเติมเต็มให้ตื้นขึ้น ข้อเสียของการรักษาประเภทนี้อาจมีรอยแดงขนาดเล็กและมีผิวตกสะเก็ด จึงไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาพักฟื้นและไม่ต้องการให้ผิวมีแผลหลังทำ โดยทั่วไปอาจใช้เวลาในการรักษาอย่างต่อเนื่องประมาณ 5-6 ครั้ง และควรเว้นระยะการยิงเลเซอร์แต่ละครั้งตามดุลยพินิจของแพทย์เพื่อให้ผลลัพธ์มีประสิทธิภาพสูงสุด
2.การฉายแสง LED Laser
การฉายแสง LED (Light – Emitting Diode) หรือแสง 4 สี ฟ้า เขียว เหลือง แดง เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่นิยมในการรักษาสิว ดูแลผิวพรรณให้มีสุขภาพดีขึ้นทั้งใบหน้าและบริเวณอื่น เช่น สิวที่หน้าอก หลัง ซึ่งเป็นบริเวณที่ยากต่อการรักษาได้ โดยแสง LED ที่ระดับความเข้มแสงต่างกันจะทำปฏิกิริยาเพื่อรักษาเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ ฟื้นฟูผิวให้กลับมาดีกว่าเดิม จะไม่รู้สึกเจ็บหรือระคายเคืองผิวขณะรักษา ไม่ทิ้งบาดแผลตกสะเก็ด และไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้นด้วย
รักษาผิวด้วยแสง LED ต่างจากรักษาด้วยเลเซอร์อย่างไร?
ในขณะรักษาด้วยแสง LED จะไม่มีความรู้สึกร้อนเลยค่ะ หลังรับการรักษาเสร็จก็ไม่มีผลข้างเคียง ไม่ทําให้ผิวหนังไหม้ แต่คนไข้ต้องเข้ารับการรักษาถี่กว่าการรักษาด้วยเลเซอร์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกันค่ะ
ทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
ส่วนใหญ่จะเห็นผลเมื่อรับการรักษาต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ครั้งขึ้นไป จะพบว่าสิวอักเสบค่อยๆ ยุบตัวลง ใบหน้ามีความมันน้อยลง รอยสิวดูจางลง หมอแนะนำควรทำสัปดาห์ละครั้ง ต่อเนื่องกัน 4 – 8 สัปดาห์ขึ้นไปค่ะ ซึ่งความถี่ของการรักษาจะขึ้นอยู่กับหมอพิจารณาให้เหมาะสมกับแต่ละคนค่ะ
การเตรียมตัวก่อนรับบริการ
– งดทายาที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว เช่น Tretinoin (Retin-A) Retinols Retinoids Glycolic Acid หรือครีมในกลุ่ม Anti-Aging อย่างน้อย 3 วันก่อนรับบริการ
– งดแว็กซ์ผิว ขัดผิว สครับผิว นวดหน้า โกนขน ดึงขน เลเซอร์ บริเวณที่จะทำอย่างน้อย 3 วันก่อนรับบริการ
– หากมีโรคประจำตัว ยาที่รับประทานประจำ หรือแพ้ยา ควรแจ้งแพทย์ก่อนรับบริการ
– งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ 24 ชั่วโมงก่อนรับบริการ
– งดกิจกรรมที่ส่งผลให้เลือดสูบฉีดไหลเวียนมากขึ้น เช่น การออกกำลังกาย ซาวน่า ในช่วง 24 ชั่วโมงก่อนรับบริการ
การดูแลหลังรับบริการ
– ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างสม่ำเสมอ โดยกางร่มหรือสวมหมวกปีกกว้าง
– ไม่ควรอาบแดด ซาวน่า ถูกแสงแดดหรือความร้อนจัด
– ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF ไม่น้อยกว่า 50 เป็นประจํา
– ควรใช้โฟมล้างหน้าหรือคลีนซิ่งที่อ่อนโยนต่อผิว และล้างหน้าออกให้หมดจด หรือจะให้น้ำเกลือเช็ดก็ได้
– ไม่ควรล้างหน้าโดยการถูแรงๆ และล้างแค่วันละ 2 ครั้งเท่านั้น เพื่อป้องกันผิวเกิดการระคายเคือง
– ไม่ควรทาครีมมีส่วนผสมของวิตามินเอ วิตามินซี หรือครีมกลุ่ม AHA
– ควรทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ทั้งในระหว่างวันและก่อนนอน
– รับประทานอาหารให้ครบถ้วน ดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน
– หลีกเลี่ยงปัจจัยที่จะทำให้เกิดสิว เช่น ลดความเครียดวิตกกังวล พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายเป็นประจำ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
– ใช้เครื่องสำอางให้เหมาะกับสภาพผิวและหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีปริมาณน้ำมันค่อนข้างสูง เช่น ครีมรองพื้น ครีมก่อนนอน ครีมบำรุงผิว
นพ.ธีรศักดิ์ แพทยาดิกุล (หมอยาดี)
Dr.Teerasak Pattayadeekul (Moryadee)
แพทย์สาขาผิวหนัง ศัลยกรรมผิวหนัง/เลเซอร์/ความงาม
– MD.Msc.Phd Dermatology / LASER / Aesthetic Surgery.
– Fellow facial plastic Surgery USA/ Cosmetic Surgery Korea
– American Board Laser-Surgery at Westin diploma at Fort Lauderdale Florida USA
– Diploma of Hair Transplantation by Thai association and Academy of Cosmetic surgery and medicine
พญ.ทวีพร ตรีประภากร
Dr.Thaweeporn Treepraphakorn
แพทย์สาขาศัลยกรรมความงาม/ Laser/ ปลูกผม
แพทย์ อเมริกันบอร์ดปลูกผม
– Fellowship in Cosmetic Surgery/ Korean college of Cosmetic Surgery
– Diplomate American Board of Hair Restoration Surgery/ABHRS
– Certificate Hair transplantation By Korean Society of Hair Restoration Surgery
– Member in association of Aesthetic Anti-aging Surgery,Thailand
– Member of International Society of Hair Restoration Surgery (ISHRS)
– Certificate Liposuction by Korean college of Cosmetic Surgery
สนใจรับคำปรึกษา หรือติดต่อสอบถาม
เมด้าคลินิก 574 ถนน เชียงใหม่-ลำปาง
ต.ท่าศาลา อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ 50000
โทร. 053-230257 , 062-3103798
เปิดทำการ จ-ศ 10.00 – 19.30 น. ส-อา 10.30 – 19.30 น.
FACEBOOK : MedaClinic LINE ID: @medaclinic IG : meda.clinic